Last updated: 2018-08-06 | 3884 จำนวนผู้เข้าชม |
New‼️ Premium PRP
#PRP (Platelet Rich Plasma) เป็นการทำให้ผิวสวยอ่อนวัยด้วยเลือดตนเอง
Premium PRP เป็น PRP ที่เข้มข้นกว่า PRP ทั่วไปถึง 5 เท่า จึงไม่แปลกที่คุณจะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Premium PRP
1.ทำให้ใบหน้ากระจ่างใส ดูอ่อนวัยขึ้น
2.รักษาผมร่วง,ผมบางได้ดี
3.ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพตามอายุ ให้กลับมามีคอลลาเจนและยืดหยุ่นอีกครั้ง
4.เร่งการซ่อมแซมและรักษาผิวจากการถูกทำลายจึงช่วยลดฝ้า,กระ,จุดด่างดำ
5.ฟื้นฟูผิวได้ทั้งใบหน้า,ลำคอ,หลังมือ ฯลฯ
6.กระชับรูขุมขน
**หมายเหตุ ผลการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อายุ และการดูแลรักษาหลังทำ**
PRP Therapy คืออะไร?
การฉีด PRP หรือ PRP Therapy ถือเป็นศาสตร์ใหม่ในด้านเวชกรรมความงาม ช่วยในเรื่องการฟื้นฟูเซลล์ ลดเลือนริ้วรอย ทำให้ดูอ่อนเยาว์ลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูและซ่อมแซมสภาพผิว โดยการนำเลือดของคนไข้มาปั่นแยกชั้น (Centrifugation) ซึ่งใช้หลักการเดียวกันกับเทคนิคทางการแพทย์ โดยปรกติแล้ว เลือดคนเราจะประกอบได้ด้วย เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และของเหลวคือ พลาสมา (Plasma) เมื่อเรานำเกล็ดเลือดมาปั่นที่อุณหภูมิและรอบความถี่ที่เหมาะสม เลือดของเราก็จะถูกแยกออกเป็นชั้นๆ ตามความเข้มข้น และชั้นที่เป็นเกล็ดเลือดเข้มข้นที่สุดคือ PRP หรือ Platelet Rich Plasma ในชั้นนี้มีสารตัวหนึ่งที่เรียกว่า Growth Factor เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้าง Collagen ให้ผิวหน้าดูอ่อนวัยและกระจ่างใสนั่นเอง หลังจากที่สกัดได้เกร็ดเลือดเข้มข้นแล้วก็จะนำมาผสมกับสารธรรมชาติอย่าง Hyaluronic Acid หรือ HA แล้วฉีดกลับเข้าไปบนจุดที่ต้องการแก้ไข ทำให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูคอลลาเจนจากภายใน และสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ทำให้ริ้วรอยและร่องลึกค่อยๆ เติมเต็มจากภายใน ซึ่งเป็นการฟื้นฟูผิวด้วยกลไกจากธรรมชาติ
ปัญหาเรื่องผิวของคนเรามักจะมาพร้อมกับอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน นั่นเพราะโครงสร้างของชั้นผิวที่มีคอลลาเจนและอิลาสตินคอยอุ้มอยู่เริ่มมีการหย่อยคล้อย และเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่หากได้รับการฟื้นฟูแล้วก็จะสามารถกลับมาเนียนนุ่มได้เช่นเดิม
ฉีด PRP มีข้อดีอย่างไร?
ผลที่ได้จากการทำ PRP คือ ผิวหนังที่เสื่อมสภาพได้รับการซ่อมแซม ทำให้ใบหน้ากระจ่างใสดูอ่อนวัยขึ้น และเห็นผลได้ชัดเจนประมาณ 1 สัปดาห์หลังการรักษา และเมื่อรักษาอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้ผิวพรรณตึงกระชับ เนียนและอ่อนนุ่มขึ้น ซึ่งผลลัพธ์นี้อยู่ได้นานถึง 8-12 เดือน โดยเว้นระยะ 1-4 สัปดาห์ต่อครั้งในการทำ หลังการรักษาอาจจะมีอาการช้ำ และมีจุดบวมบ้างเล็กน้อยซึ่งจะค่อยๆหายไปเองใน 1-2 วัน ผลการรักษาในแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับสภาพผิวพรรณ อายุและการดูแลรักษาหลังทำของคนไข้
การเตรียมตัวก่อนทำ PRP Treatment มีอะไรบ้าง?
การเตรียมตัวก่อนทำ PRP Treatment นั้นไม่มีอะไรยุ่งยาก ก่อนเข้ารับการรักษาคนไข้ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดมีความเข้มข้นและหนืดจนเกินไป งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 วัน และที่สำคัญควรงดการใช้ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่เสตอรอยด์ (Non-Steroid Anti-Inflammatory Medications) 1 อาทิตย์ก่อนและระหว่างการรักษา เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว เรามาดูขั้นตอนการรักษากันเลยค่ะ
ขั้นตอนการทำ PRP
1. ดูดเลือดจากต้นแขนมาประมาณ 20 - 60cc
2. นำเลือดเข้าสู่กระบวนการปั่นแยกเกล็ดเลือดที่สมบูรณ์ไปด้วย Growth Factor ในเครื่อง Centrifuge
3. แยกเกล็ดเลือดที่สมบูรณ์และเข้มข้นออกจากเกล็ดเลือดปกติ
4. ฉีดเกล็ดเลือด PRP เข้าสู่ส่วนต่างๆของร่างกายเช่นใบหน้า,ลำคอ,หนังมือ,หนังศรีษะ,ต้นแขน,ต้นขา
สาร Growth Factor ต่างๆใน PRP
1. Platelet-derived growth factor (PDGF)
2. Transforming growth-factor-beta TGF-b)
3. Vascular endothelial growth factor (VEGF)
4. Epidermal growth factor (EGF)
5. Fibroblast growth factor-2 (FGF-2)
6. Insulin-like growth factor (IGF)
หลังฉีด PRP ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
สามารถประคบเย็นหลังฉีด PRP ได้
หลีกเหลี่ยงการทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ AHA หรือสาร Whitening อื่นๆ
หลีกเลี่ยงการล้างหน้าภายใน 4-5 ชั่วโมงแรกของการรักษา
หลีกเลี่ยงการนวดหน้า ขัดหน้าหรือถูกความร้อน อบไอน้ำ ซาวน่าหรือแสงแดด
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และออกกำลังกายอย่างหนัก
ทาครีมบำรุงผิวหรือมอยเจอร์ไรเซอร์ได้ตามปรกติ
ผลการรักษา
สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอย่างอื่นได้เช่นเลเซอร์,ทรีทเม้นท์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น โอกาสแพ้น้อยมากเพราะเป็นเลือดของเราเอง
ข้อห้ามในการรักษาด้วยPRP
1. หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
2. มีประวัติเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดและมะเร็งไขกระดูก
3. คนไข้ที่ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ดังต่อไปนี้
❌ Clopidogrel
❌Warfarin
❌ Aspirin
❌ Dipyridamole
❌Heparin
❌ Dabigatran
ให้คนไข้หยุดยาด้านบน 2-3สัปดาห์ทั้งก่อนและหลังทำการรักษา แต่ถ้าคนไข้ไม่สามารถหยุดยาได้ ให้คนไข้ทานยาข้างต้นให้ครบคอร์สก่อน แล้วค่อยพิจารณาการรักษา
4. คนไข้ที่มีไข้หรือการเจ็บป่วยที่ร้ายแรง
แนะนำให้รออย่างน้อย60 วันและหายดีแล้วค่อยทำการรักษา
5.ในคนไข้สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
ให้หยุดอย่างน้อย 3 วันทั้งก่อนและหลังการทำการรักษา เนื่องจากบุหรี่และแอลกอฮลล์จะมีผลต่อการสร้างเกล็ดเลือดและstem cells
6. คนไข้ที่ทานยาแก้อักเสบ NSAIDs ให้หยุดยาอย่างน้อย 7-10วันทั้งก่อนและหลังการรักษา
7. คนไข้ที่มีประวัติโรคตับ เนื่องจากจะทำให้ผลการรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
8. คนไข้ที่มีการติดเชื้อ เช่น ทางผิวหนังในบริเวณที่จะทำการรักษา หรือติดเชื้อในกระแสโลหิต
9. มีเกล็ดเลือดต่ำกว่า105,000 ต่อลูกบาศก์เมตร
10. โลหิตจาง ที่มีฮีโมโกลบินต่ำกว่า 10 g/dL
Jan 24, 2019
Jan 28, 2019
Feb 05, 2021
Jan 25, 2019